'พิธา' ร่ายยาวผ่าน Nikkei Asia นโยบายของไทยต่อเมียนมา ต้องก้าวหน้า

'พิธา' ร่ายยาวผ่าน Nikkei Asia นโยบายของไทยต่อเมียนมา ต้องก้าวหน้า

ดูวิดีโอตอนนี้ 'พิธา' ร่ายยาวผ่าน Nikkei Asia นโยบายของไทยต่อเมียนมา ต้องก้าวหน้า

เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2567 เว็บไซต์ Nikkei Asia เผยแพร่บทความพิเศษของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในหัวข้อ Thai policy toward Myanmar must move forward หรือ นโยบายของไทยต่อเมียนมาต้องก้าวหน้า

โดยนายพิธา ระบุว่า เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบอย่างต่อเนื่องของความไม่มั่นคงในเมียนมา บนผลประโยชน์ของประเทศไทย , ความน่าเชื่อถือของอาเซียน และความเป็นอยู่ที่ดีของพลเรือนทั้งในและนอกเมียนมา ประเทศไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ในจุดยืนเชิงนโยบายต่อเพื่อนบ้าน

ประการแรก รัฐบาลไทยต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ที่ผ่านมาประเทศไทยเลือกดำเนินนโยบาย ที่เอนเอียงไปทางสภาบริหารแห่งรัฐเมียนมา (SAC) ที่ก่อตั้งโดยกลุ่มนายพลเมียนมาหลังการยึดอำนาจทางทหาร แต่จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป การดำเนินนโยบายที่ผ่านมาของไทยนั้น เริ่มแสดงให้เห็นว่า อาจจะเป็นการเลือกเดินที่ผิดพลาด

ประเทศไทยควรแต่งตั้งผู้มีประสบการณ์ระดับภูมิภาคและระดับโลกเป็นผู้แทนพิเศษ (special envoy) เพื่อดูแลความสัมพันธ์กับเมียนมาโดยเฉพาะ

ดั่งที่พรรคก้าวไกลเคยได้เสนอมาก่อนหน้านี้ เราอยากให้มีกาจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจระหว่างหน่วยงาน ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะ และมีผู้แทนพิเศษเป็นประธานร่วม เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีการตอบสนองต่อความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ที่เกิดขึ้นข้ามพรมแดนอย่างรวดเร็วและทันท่วงที คณะทำงานเฉพาะกิจนี้ควรได้รับการสนับสนุนจากชุดที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญประเด็นเมียนมาโดยเฉพาะ

นายพิธา ระบุอีกว่า กระบวนการที่มีอยู่นั้นติดขัดเรื่องระเบียบของระบบราชการอยู่บ่อยครั้ง และถูกมองผ่านแนวทางของความมั่นคงมากเกินไป สิ่งนี้ทำให้ประสิทธิภาพในการจัดการกับความท้าทายที่มีอยู่หลากหลายมิติมีไม่เพียงพอ

“การปรับคณะรัฐมนตรีของไทยเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ลาออกจากตำแหน่ง ทำให้การดำเนินนโยบายเกี่ยวกับเมียนมาไม่ต่อเนื่อง และเกิดการตั้งคำถามถึงการให้ความสำคัญต่อประเด็นเมียนมาของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวต่อว่า ประการที่สอง ประเทศไทยควรมีจุดยืนที่ชัดเจนต่อเหตุโจมตีทางอากาศต่อพลเรือนในเมียนมา ซึ่งประเทศไทยนั้นมีอำนาจต่อรองในเรื่องนี้ ในฐานะหนึ่งในไม่กี่ประเทศในอาเซียนที่ส่งออกเชื้อเพลิงเครื่องบินไปยังเมียนมา

การโจมตีทางอากาศของทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่กะเหรี่ยงและกะเรนนี ได้สร้างความเสียหายให้กับพลเรือนจำนวนมาก และอาจนำไปสู่การหลั่งไหลของผู้อพยพหรือพลัดถิ่นเข้าสู่ประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่ออธิปไตยของชาติและเป็นภาระอันใหญ่หลวงของรัฐไทยที่ต้องให้การดูแลอย่างถูกหลักมนุษยธรรม

ประการที่สาม แม้ว่าความมั่นคงด้านพลังงานเป็นสิ่งสำคัญต่อประเทศไทย และก๊าซจากเมียนมานั้นคิดเป็น 16% ของการนำเข้าก๊าซธรรมชาติทั้งหมด แต่การซื้อก๊าซของไทยนั้น เอื้อได้ประโยชน์ และเป็นการสนับสนุนสภาบริหารแห่งรัฐเมียนมาในทางอ้อม

นายพิธา ระบุว่า ทางเลือกหนึ่งในการแก้ไขอาจเป็นข้อตกลงเอสโครว์ (escrow) ซึ่งเป็นโมเดลการจ่ายเงิน ที่บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จะจ่ายเงินไปพักไว้ในบัญชีกลาง โดยตั้งเงื่อนไขการนำเงินออกมา ของบริษัท Myanma Oil and Gas Enterprise ให้ต้องพิสูจน์ว่าจะไม่นำเงินไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร และจ่ายออกสำหรับการบริการสาธารณะเท่านั้น

ประการที่สี่ การยึดเมืองชายแดนเมียวดีโดยสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงและกลุ่มพันธมิตรเมื่อเดือนที่แล้ว ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการใช้หลายช่องทาง เพื่อส่งความช่วยเหลือไปยังเมียนมา และเพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในวงกว้างมีส่วนร่วมในการได้รับความช่วยเหลือ

แนวทางการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของประเทศไทยจะต้องครอบคลุมทุกมิติ โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง เพื่อเสริมเติมโครงการที่ริเริ่มไปแล้วผ่านสภากาชาดของทั้งสองประเทศ ซึ่งหมายความว่าประเทศไทยต้องพิจารณาแนวทางด้านมนุษยธรรมคู่ขนาน ที่ทำร่วมกับองค์กรชาติพันธุ์และกลุ่มต่อต้านของเมียนมาด้วย

นายพิธา แนะว่า ประเทศไทยอาจมองไปถึงการจัดตั้งพื้นที่ทางเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดน เพื่อทำให้เกิดการสร้างงานให้กับผู้ที่หลบหนีจากการสู้รบ นอกจากนี้ ประเทศไทยอาจจะทำการออกใบอนุญาตพิเศษสำหรับบุคคลากรการแพทย์จากเมียนมา ให้สามารถทำงานในเขตพื้นที่ชายแดนได้ ซึ่งอาจจะช่วยแบ่งเบาภาระของเจ้าหน้าที่สาธารณะสุขไทยได้บ้าง

ในขณะเดียวกัน ผู้อพยพชาวเมียนมาควรถูกมองว่าเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพ ที่สามารถมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันเรากำลังกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุ ทำให้ต้องการนวัตกรรมเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ถึงเวลาแล้วที่รัฐไทยจะต้องคิดที่จะปิดค่ายผู้ลี้ภัยที่ดำเนินการมานานหลายทศวรรษตามแนวชายแดนติดกับเมียนมา และต้องทำให้บุคคลเหล่านี้มีที่ยืน และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย โดยเราต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ที่บุคคลเหล่าที่ จะสามารถสร้างให้กับประเทศไทยได้ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ควรเริ่มต้นทำได้เลยคือการการันตีสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาของเด็กพลัดถิ่น ซึ่งจะเป็นการเริ่มพัฒนาความสามารถของบุคคลเหล่านี้

อ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่ :
————————-

#เรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ (Morning News Weekend)
วันที่ 4 พฤษภาคม 2567

ติดตามความเคลื่อนไหวข่าวสารก่อนใครได้ที่นี่
ch3plus :
facebook :
Twitter :
YouTube :

'พิธา' ร่ายยาวผ่าน Nikkei Asia นโยบายของไทยต่อเมียนมา ต้องก้าวหน้า“, จากแหล่งที่มา: https://www.youtube.com/watch?v=oU_SE0LS3F8

แฮชแท็กสำหรับ 'พิธา' ร่ายยาวผ่าน Nikkei Asia นโยบายของไทยต่อเมียนมา ต้องก้าวหน้า: #39พธา39 #รายยาวผาน #Nikkei #Asia #นโยบายของไทยตอเมยนมา #ตองกาวหนา

บทความ 'พิธา' ร่ายยาวผ่าน Nikkei Asia นโยบายของไทยต่อเมียนมา ต้องก้าวหน้า มีเนื้อหาดังต่อไปนี้: เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2567 เว็บไซต์ Nikkei Asia เผยแพร่บทความพิเศษของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในหัวข้อ Thai policy toward Myanmar must move forward หรือ นโยบายของไทยต่อเมียนมาต้องก้าวหน้า

โดยนายพิธา ระบุว่า เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบอย่างต่อเนื่องของความไม่มั่นคงในเมียนมา บนผลประโยชน์ของประเทศไทย , ความน่าเชื่อถือของอาเซียน และความเป็นอยู่ที่ดีของพลเรือนทั้งในและนอกเมียนมา ประเทศไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่ในจุดยืนเชิงนโยบายต่อเพื่อนบ้าน

ประการแรก รัฐบาลไทยต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ที่ผ่านมาประเทศไทยเลือกดำเนินนโยบาย ที่เอนเอียงไปทางสภาบริหารแห่งรัฐเมียนมา (SAC) ที่ก่อตั้งโดยกลุ่มนายพลเมียนมาหลังการยึดอำนาจทางทหาร แต่จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป การดำเนินนโยบายที่ผ่านมาของไทยนั้น เริ่มแสดงให้เห็นว่า อาจจะเป็นการเลือกเดินที่ผิดพลาด

ประเทศไทยควรแต่งตั้งผู้มีประสบการณ์ระดับภูมิภาคและระดับโลกเป็นผู้แทนพิเศษ (special envoy) เพื่อดูแลความสัมพันธ์กับเมียนมาโดยเฉพาะ

ดั่งที่พรรคก้าวไกลเคยได้เสนอมาก่อนหน้านี้ เราอยากให้มีกาจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจระหว่างหน่วยงาน ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะ และมีผู้แทนพิเศษเป็นประธานร่วม เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีการตอบสนองต่อความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ที่เกิดขึ้นข้ามพรมแดนอย่างรวดเร็วและทันท่วงที คณะทำงานเฉพาะกิจนี้ควรได้รับการสนับสนุนจากชุดที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญประเด็นเมียนมาโดยเฉพาะ

นายพิธา ระบุอีกว่า กระบวนการที่มีอยู่นั้นติดขัดเรื่องระเบียบของระบบราชการอยู่บ่อยครั้ง และถูกมองผ่านแนวทางของความมั่นคงมากเกินไป สิ่งนี้ทำให้ประสิทธิภาพในการจัดการกับความท้าทายที่มีอยู่หลากหลายมิติมีไม่เพียงพอ

“การปรับคณะรัฐมนตรีของไทยเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ลาออกจากตำแหน่ง ทำให้การดำเนินนโยบายเกี่ยวกับเมียนมาไม่ต่อเนื่อง และเกิดการตั้งคำถามถึงการให้ความสำคัญต่อประเด็นเมียนมาของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวต่อว่า ประการที่สอง ประเทศไทยควรมีจุดยืนที่ชัดเจนต่อเหตุโจมตีทางอากาศต่อพลเรือนในเมียนมา ซึ่งประเทศไทยนั้นมีอำนาจต่อรองในเรื่องนี้ ในฐานะหนึ่งในไม่กี่ประเทศในอาเซียนที่ส่งออกเชื้อเพลิงเครื่องบินไปยังเมียนมา

การโจมตีทางอากาศของทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่กะเหรี่ยงและกะเรนนี ได้สร้างความเสียหายให้กับพลเรือนจำนวนมาก และอาจนำไปสู่การหลั่งไหลของผู้อพยพหรือพลัดถิ่นเข้าสู่ประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่ออธิปไตยของชาติและเป็นภาระอันใหญ่หลวงของรัฐไทยที่ต้องให้การดูแลอย่างถูกหลักมนุษยธรรม

ประการที่สาม แม้ว่าความมั่นคงด้านพลังงานเป็นสิ่งสำคัญต่อประเทศไทย และก๊าซจากเมียนมานั้นคิดเป็น 16% ของการนำเข้าก๊าซธรรมชาติทั้งหมด แต่การซื้อก๊าซของไทยนั้น เอื้อได้ประโยชน์ และเป็นการสนับสนุนสภาบริหารแห่งรัฐเมียนมาในทางอ้อม

นายพิธา ระบุว่า ทางเลือกหนึ่งในการแก้ไขอาจเป็นข้อตกลงเอสโครว์ (escrow) ซึ่งเป็นโมเดลการจ่ายเงิน ที่บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จะจ่ายเงินไปพักไว้ในบัญชีกลาง โดยตั้งเงื่อนไขการนำเงินออกมา ของบริษัท Myanma Oil and Gas Enterprise ให้ต้องพิสูจน์ว่าจะไม่นำเงินไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร และจ่ายออกสำหรับการบริการสาธารณะเท่านั้น

ประการที่สี่ การยึดเมืองชายแดนเมียวดีโดยสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงและกลุ่มพันธมิตรเมื่อเดือนที่แล้ว ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการใช้หลายช่องทาง เพื่อส่งความช่วยเหลือไปยังเมียนมา และเพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในวงกว้างมีส่วนร่วมในการได้รับความช่วยเหลือ

แนวทางการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของประเทศไทยจะต้องครอบคลุมทุกมิติ โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง เพื่อเสริมเติมโครงการที่ริเริ่มไปแล้วผ่านสภากาชาดของทั้งสองประเทศ ซึ่งหมายความว่าประเทศไทยต้องพิจารณาแนวทางด้านมนุษยธรรมคู่ขนาน ที่ทำร่วมกับองค์กรชาติพันธุ์และกลุ่มต่อต้านของเมียนมาด้วย

นายพิธา แนะว่า ประเทศไทยอาจมองไปถึงการจัดตั้งพื้นที่ทางเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดน เพื่อทำให้เกิดการสร้างงานให้กับผู้ที่หลบหนีจากการสู้รบ นอกจากนี้ ประเทศไทยอาจจะทำการออกใบอนุญาตพิเศษสำหรับบุคคลากรการแพทย์จากเมียนมา ให้สามารถทำงานในเขตพื้นที่ชายแดนได้ ซึ่งอาจจะช่วยแบ่งเบาภาระของเจ้าหน้าที่สาธารณะสุขไทยได้บ้าง

ในขณะเดียวกัน ผู้อพยพชาวเมียนมาควรถูกมองว่าเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพ ที่สามารถมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันเรากำลังกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุ ทำให้ต้องการนวัตกรรมเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ถึงเวลาแล้วที่รัฐไทยจะต้องคิดที่จะปิดค่ายผู้ลี้ภัยที่ดำเนินการมานานหลายทศวรรษตามแนวชายแดนติดกับเมียนมา และต้องทำให้บุคคลเหล่านี้มีที่ยืน และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย โดยเราต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ที่บุคคลเหล่าที่ จะสามารถสร้างให้กับประเทศไทยได้ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ควรเริ่มต้นทำได้เลยคือการการันตีสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาของเด็กพลัดถิ่น ซึ่งจะเป็นการเริ่มพัฒนาความสามารถของบุคคลเหล่านี้

อ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่ :
————————-

#เรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ (Morning News Weekend)
วันที่ 4 พฤษภาคม 2567

ติดตามความเคลื่อนไหวข่าวสารก่อนใครได้ที่นี่
ch3plus :
facebook :
Twitter :
YouTube :

hqdefault

คำหลักสำหรับ 'พิธา' ร่ายยาวผ่าน Nikkei Asia นโยบายของไทยต่อเมียนมา ต้องก้าวหน้า: [คำหลัก]

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ 'พิธา' ร่ายยาวผ่าน Nikkei Asia นโยบายของไทยต่อเมียนมา ต้องก้าวหน้า:
ขณะนี้วิดีโอนี้มียอดดู 2632 วิดีโอสร้างขึ้นเมื่อ 2024-05-04 14:52:54 คุณต้องการดาวน์โหลดวิดีโอนี้โดยไปที่ลิงก์ต่อไปนี้: https://www.youtubepp.com/watch?v=oU_SE0LS3F8, แท็ก: #39พธา39 #รายยาวผาน #Nikkei #Asia #นโยบายของไทยตอเมยนมา #ตองกาวหนา

ขอขอบคุณที่รับชมวิดีโอ: 'พิธา' ร่ายยาวผ่าน Nikkei Asia นโยบายของไทยต่อเมียนมา ต้องก้าวหน้า